
ทำความเข้าใจกับอาการท้องอืดและท้องเสียในแมว
อาการท้องอืดในแมวคืออะไร?
ท้องป่องแข็ง
เรอบ่อยหรือพยายามขย้อน
ไม่อยากอาหาร ซึม ไม่วิ่งเล่น
อาการท้องเสียในแมวคืออะไร?
อุจจาระเหลวหรือมีน้ำปน
ถ่ายบ่อยกว่าปกติ
มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ หรือมีเลือดปน
ตารางเปรียบเทียบอาการ
อาการ | ท้องอืด | ท้องเสีย |
---|---|---|
ท้องแข็ง | ✓ | ✕ |
ถ่ายเหลว | ✕ | ✓ |
ซึม ไม่กินอาหาร | ✓ | ✓ |
มีลมในท้อง | ✓ | ✕ |
ถ่ายมีเลือดปน | ✕ | ✓ |
สาเหตุของท้องอืดและท้องเสียในแมว
สาเหตุของอาการท้องอืด
กินอาหารเร็วเกินไป
อาหารไม่ย่อย เช่น นมวัว หรืออาหารมัน
ภาวะลำไส้อักเสบ
พยาธิภายในระบบย่อยอาหาร
สาเหตุของอาการท้องเสีย
การเปลี่ยนอาหารกะทันหัน
ติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย เช่น Feline Parvovirus
อาหารเป็นพิษหรือเน่าเสีย
พยาธิหรือปรสิตในลำไส้
วิธีดูแลเบื้องต้นเมื่อแมวมีอาการ
หากแมวท้องอืด
งดให้อาหารทันที 6-8 ชั่วโมง
ใช้น้ำอุ่นนวดเบา ๆ ที่หน้าท้อง
ให้จิบน้ำบ่อย ๆ แบบทีละน้อย
หากแมวท้องเสีย
งดให้อาหารที่เสี่ยง เช่น นมวัว อาหารเปียก
ให้น้ำสะอาดเพื่อลดการขาดน้ำ
พิจารณาให้น้ำเกลือแร่สำหรับสัตว์
ข้อควรสังเกต
หากแมวไม่ดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง ควรพบสัตวแพทย์
หากอาการรุนแรง เช่น ถ่ายเป็นเลือด หรือแมวซึมมาก ให้รีบพาไปโรงพยาบาลทันที
ควรพาแมวไปพบสัตวแพทย์เมื่อใด
อาการที่ไม่ควรรอดูอาการเอง
อาเจียนร่วมกับถ่าย
ถ่ายเป็นเลือด สีดำ หรือมูก
ท้องบวมผิดปกติ
ซึมจนไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า
การวินิจฉัยจากสัตวแพทย์
ตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ
ตรวจพยาธิภายใน
X-ray หรืออัลตราซาวด์หน้าท้อง
สิ่งที่ควรแจ้งสัตวแพทย์
อาหารที่แมวกิน
ระยะเวลาที่เริ่มมีอาการ
พฤติกรรมที่ผิดปกติอื่น ๆ
การป้องกันไม่ให้แมวท้องอืดหรือท้องเสียอีก
การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเสมอ โดยเฉพาะกับสัตว์เลี้ยงอย่างแมวที่มีระบบทางเดินอาหารค่อนข้างอ่อนไหว หากเจ้าของสามารถจัดการเรื่องอาหารและสุขภาพของแมวได้ดี จะช่วยลดความเสี่ยงจากอาการท้องอืด ท้องเสีย หรือปัญหาในระบบย่อยอาหารได้อย่างมาก
ดูแลเรื่องอาหาร
หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้แมวท้องอืดหรือท้องเสียคือการให้อาหารที่ไม่เหมาะสมหรือเปลี่ยนแปลงอาหารอย่างกะทันหัน
1. ไม่เปลี่ยนอาหารกะทันหัน
การเปลี่ยนอาหารควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้เวลาประมาณ 7–10 วันผสมอาหารเก่าและใหม่ในสัดส่วนที่ค่อย ๆ เปลี่ยน เช่น:
วันที่ | อาหารเก่า | อาหารใหม่ |
---|---|---|
1-3 | 75% | 25% |
4-6 | 50% | 50% |
7-9 | 25% | 75% |
10+ | 0% | 100% |
หากเปลี่ยนทันที อาจทำให้แมวเกิดอาการ digestive upset (ไดเจสทีฟ อัพเซต) = ความผิดปกติในระบบย่อยอาหาร
2. หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดอาการ
-
นมวัว – แมวส่วนใหญ่ไม่มีเอนไซม์ lactase (แลคเทส) สำหรับย่อย lactose (แลคโทส) ในนมวัว
-
อาหารมัน/ทอด – ย่อยยาก อาจทำให้ท้องเสีย
-
อาหารหมดอายุหรือเน่าเสีย – ทำให้แมวติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้
3. ให้อาหารตามเวลา
การให้อาหารแมวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยควบคุมระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดี ไม่ปล่อยให้แมวหิวจัดหรือกินเร็วเกินไป
Tips: ควรให้แมวกินอาหารปริมาณเล็กน้อยแต่บ่อยครั้ง เช่น วันละ 2-3 มื้อ
ดูแลสุขภาพแมวทั่วไป
แมวที่สุขภาพดีจะมีระบบย่อยอาหารที่แข็งแรง ทำให้ลดโอกาสการท้องอืดและท้องเสียลงได้มาก
1. ตรวจสุขภาพประจำปี
ควรพาแมวไปพบสัตวแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจเช็กร่างกาย เช่น
-
ตรวจฟัน
-
ตรวจอุจจาระ
-
ตรวจการทำงานของตับ ไต
2. ถ่ายพยาธิตามกำหนด
พยาธิในลำไส้เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของอาการท้องเสีย แมวควรได้รับการถ่ายพยาธิอย่างน้อยทุก 3–6 เดือน
3. ให้แมวออกกำลังกายพอเหมาะ
การเคลื่อนไหวจะช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและลดความเครียด (ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ท้องเสีย)
-
เล่นกับแมววันละ 10–15 นาที
-
ใช้ของเล่นแมว เช่น ไม้ตกแมว, ลูกบอล
Q&A คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับแมวท้องอืด ท้องเสีย
Q: แมวท้องเสียกินอะไรได้บ้าง?
A: อาหารย่อยง่าย เช่น ข้าวต้มเนื้อไก่ต้มไม่มีเครื่องปรุง หรืออาหารสูตรเฉพาะสำหรับแมวท้องเสียที่สัตวแพทย์แนะนำ
Q: ถ้าแมวท้องอืด ควรให้กินยาไหม?
A: ห้ามให้ยาคนกับแมวโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากสัตวแพทย์ เพราะอาจเป็นอันตราย
Q: ท้องเสียเป็นบ่อยควรทำอย่างไร?
A: ควรตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์เพื่อตรวจระบบลำไส้และตรวจหาพยาธิ
สรุปท้ายบท
อาการท้องอืดและท้องเสียในแมวเป็นปัญหาที่พบบ่อยและไม่ควรมองข้าม การเข้าใจสาเหตุ สังเกตอาการ และดูแลเบื้องต้นให้ถูกต้องสามารถช่วยให้แมวฟื้นตัวเร็วขึ้น และหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนในอนาคต หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาสัตวแพทย์ทันที เพราะสุขภาพของแมวคือความสุขของคนเลี้ยง

Sea